บทที่
4
ระบบเครือข่ายท้องถิ่น LAN
มาตรฐานเครือข่าย
LAN แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
1.
มาตรฐานเครือข่าย LAN Ethernet
2.
มาตรฐานเครือข่าย LAN TOKEN
3.
มาตรฐานเครือข่าย LAN ARCnet
มาตรฐานเครือข่าย
LAN Ethernet
เทคโนโลยี
LAN แบบ Ethernet พัฒนามาจากแนวคิดเครือข่ายการสื่อสารผ่านดวาเทียม
โดยมหาวิทยาลัย แห่งฮาวาย ใช้เทคนิค CSMA/CD (Carrier
Sense Multiple Access / Collision Detection)
เป็นเครือข่ายที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
ซึ่งติดตั้งง่าย ไม่มีความสลับซับซ้อน ประกอบกับมีต้นทุนต่ำ และยังมีอุปกรณ์ต่างๆ สนับสนุน
มากมายที่สามารถนำเชื่อมต่อกับระบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายขนาดใหญ่ เช่น เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
ระบบ
Ethernet มีการพัฒนาด้านความเร็วและประสิทธิภาพของระบบอยู่เสมอ ความเร็วในการส่งข้อมูลบนระบบเครือข่าย
Ethernet เดิมจะมี ความเร็วที่ 10 เมกกะบิตต่อวินาที
แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาความเร็วถึง 100 เมกกะบิต หรือที่เรียกว่า
Fast Ethernet ในรูปแบบการเชื่อมต่อ
เครือข่ายแบบ Star ,Ethernet ยังแบ่งออกเป็นรูปแบบการเชื่อมต่อระบบ
3 รูปแบบด้วยกันคือ
1.
10 Base 2
2.
10 Base 5
3.
10 Base T
มาตรฐานเครือข่าย
LAN TOKEN
เทคโนโลยี
LAN แบบ Ethernet มีข้อจำกัดในเรื่องการชนกันของข้อมูลเพราะใช้เทคนิค
CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access / Collision
Detection) ซึ่งเมื่อจำนวนเครือข่ายเพิ่มการส่งข้อมูลก็มีสูง จึงใช้หลักการ
แบบ TOKEN
หลักการ Token Passing
วิธีการนี้สามารถใช้กับ
Topology หลายแบบด้วยกัน เช่น Bus , star , Ring โดยวิธีการนี้จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวในช่วงเวลา
หนึ่งที่มีประสิทธิในการส่งข้อมูล โดยรหัส Token เก็บไว้
และเมื่อทำการส่งข้อมูลออกไปแล้ว ก็จะทำการส่งรหัส Token นี้ออกไปให้เครื่องอื่น
ๆ ตามลำดับที่กำหนดไว้ เมื่อเครื่องใดได้รับรหัสแล้ว
ถ้าเครื่องนั้นไม่ต้องการส่งข้อมูลก็จะส่งรหัสนี้ต่อไปยังเครื่องอื่นต่อไป
ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ทุก
เครื่องในเครือข่ายจะได้รับสิทธิในการส่งข้อมูล 1 ครั้ง
ภายใน 1 รอบการทำงานทำให้สามารถจำกัดเวลาได้ว่าจะส่ง ข้อมูลออกไปได้ภายในเวลา
ไม่เกินกี่ millisecond

มาตรฐานเครือข่าย
LAN Arcnet
คือเครือข่ายแบบ
Token Ring พัฒนาโดย บริษัท Datapoint Coporation ความเร็วในการส่งข้อมูล
2.5 เมกะบิท อาศัย Hub และอุปกรณ์ rim เป็นตัวกลางเชื่อมเข้าต่อกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
การทำงาน สถานีจะถูกจัดกลุ่มในลักษณะเป็นวง แต่มองทางกายภาพและจะมีการ
ต่อเป็นเส้นตรงใช้หลักการส่ง Token ออกไปเหมือนมาตรฐานเครือข่าย
LAN TOKEN

โดยวิธีการนี้จะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวในช่วงเวลาหนึ่งที่มีสิทธิในการส่งข้อมูลโดยรหัส
Token เก็บไว้ และเมื่อทำการส่ง
ข้อมูลออกไปแล้ว ก็จะทำการส่งรหัส Token นี้ออกไปให้เครื่องอื่น
ๆ ตามลำกับที่กำหนดไว้ เมื่อเครื่องใดได้รับรหัสแล้ว ถ้าเครื่องนั้นไม่
่ ต้องการ ส่งข้อมูลก็จะส่งรหัสนี้ต่อไปยังเครื่องอื่นต่อไป
ถ้าเครื่องนั้นต้องการส่งข้อมูลก็ให้ส่งข้อมูลออกมาก่อนแล้วค่อยส่งรหัสออกไปให้
เครื่องอื่นทราบตามลำดับ
มาตรฐาน
10 Base 2
ความหมาย
10 คือ
ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps
Base
คือ การส่งข้อมูลแบบ Baseband
2
คือ ความยาวสูงสุด 200
เมตร (185-200 เมตร)
10
Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง ชนิด RG-58 A/U
โดยจะมี Terminator (50 โอมห์) เป็นตัวปิดหัวและท้ายของ
เครือข่าย
ข้อกำหนดของ 10Base 2
1. ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U
2. หัวที่ใช้ต่อกันคือ หัว BNC
3. ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector
เท่านั้น
4. เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator
ขนาด 50 โอมห์
5. ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า
0.5 ม.
6. สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร 185-200 เมตร)
7. ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง
8. ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่รัยกว่า
Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4
Repeater
9. ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร
10. จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง
มาตรฐาน 10 Base 5
ความหมาย 10 คือ ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps
Base คือ การส่งข้อมูลแบบ Baseband
5 คือ ความยาวสูงสุด 500 เมตร
10 Base 5 เป็นเครือข่ายแบบที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2 แต่จะใช้สาย
Coaxial แบบหนา เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและ
มีขนาดใหญ่โดย
Terminator เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10
Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่า และต่อในระยะได้ ไกลกว่าแบบ
10 Base 2 แต่ ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กัน เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง
ข้อกำหนดของ 10 Base 5
1. ใช้สาย Thick coaxial ชนิด RG-8
2. หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI
3. เครื่องตังแรกตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator
ขนาด 50 โอมห์
4. ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร
5. Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร
6. ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง
7. สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร
8. ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า
Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4
Repeater
9. ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร
10. จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง
มาตรฐาน 10 Base T
ความหมาย 10 คือ ความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps
Base คือ การส่งข้อมูลแบบ Baseband
T คือ Twisted Pair (UTP)
10 Base T จัดได้ว่าเป็นเครือข่ายที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งง่ายและจำนวนสถานีที่ใช้งานจะต่อได้มาก
กว่า
ในความจริงแล้ว 10 Base T นั้นไม่ได้จัดอยู่ในมาตรฐาน Ethernet โดยตรง
แต่เป็นเครือข่ายที่ผสมผสานระหว่าง Ethernet และ Star เข้าด้วย
กัน
ซึ่งจะมีอุปกรณ์ ตัวกลางที่เรียกว่า Concentrator หรือเรียกกันทั่วไปว่า
HUB ที่คอยรับสัญญาณระหว่าง Workstation และ File Server โดยใน
กรณีที่มีสายจากสถานีใดเสียหาย
ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบ
ข้อกำหนดของ 10 Base T
1. ใช้สาย UTP ชนิด CAT-3 หรือ CAT-5
2. หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัวชนิด RJ-45
3. ระยะระหว่างเครื่อง หรือระหว่าง HUB กับ HUB จะยาวไม่เกิน 100
เมตร
4. 1 Segment = 4 Hub]
5. ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ 512 เครื่อง
6. ในกรณีทีต้องการต่อมากกว่า 52 เครื่อง ต้องเพิ่ม HUB ได้ไม่เกิน
4 ตัว
7. จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 2,560 เครื่อง

|